วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

ประกาศจากผู้เขียนค่ะ

ตอนนี้เราได้ย้ายบทความทั้งหมดไปยังเวบลิงค์นี้ค่ะ   คลิ้กเลย

ซึ่งอ่านง่ายและได้อรรธรสกว่าการเขียนบล็อกค่ะ..

ขอบพระคุณมากค่ะที่ติดตามมาโดยตลอด

วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554

พบพระนิพพานที่บ้านหลวงปู่(ตอนที่สาม)





                                                               ตอนที่สาม





" เอาล่ะค่ะ...วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน...." เสียงของครูผู้ฝึกร้องเรียกสติของผมให้คืนกลับมา




.....นี่ผมหลับไปถึงสองชั่วโมงเต็มเลยเหรอครับเนี่ย....





ผมกระพริบตาถี่ๆก่อนจะลุกขึ้นเดินออกมาจากในห้องพร้อมกับคนอื่นๆ





" พี่ๆ..." เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังของผม...




เมื่อผมหันไปตามเสียงเรียกผมก็ต้องพบกับเด็กชายวัยแปดขวบคนที่รู้ไปซะทุกเรื่องนั่นเอง





" มีอะไรเหรอ..."



" ครูปราณีฝากมาบอกว่าอย่าลืมขึ้นไปชั้นสามก่อนกลับนะ..."



" ทำไมเหรอ.."



" ครูแกอยากรู้ว่าคนที่ฝึกครั้งแรกเมื่อวานกับแกแล้วไม่เห็นอะไรน่ะน่ะวันนี้เป็นยังไงบ้าง..."





ผมพยักหน้าช้าๆให้กับเจ้าเด็กนั่น....

ผมก้าวขึ้นบันไดไปชั้นสามก่อนจะพบว่า

ห้องของผู้ฝึกรายใหม่ตอนนี้มีร่างของหญิงร่างท้วมคนหนึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่หน้าองค์พระประธาน.....

ผมมองไปรอบๆก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปข้างใน





" มาแล้วเหรอคะ..." เสียงของครูปราณีดังขึ้น



" สวัสดีครับอาจารย์.."



" ค่ะธรรมะสวัสดี....วันนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ"



" เอ่อ...คือ..."



" วันนี้จิตเป็นสมาธิกว่าเมื่อวานใช่ไหมคะ..."



" เอ้อ..ใช่ครับ..."



" ดีแล้วล่ะค่ะ...อาจารย์คิดไว้ไม่มีผิดว่าคุณต้องทำได้...วันนี้ไปเที่ยวนรกมาเป็นยังไงบ้างคะ...."





ผมนิ่งอึ้งไปทันทีกับคำถามของอาจารย์ปราณี....

ดูท่าว่าหล่อนจะรู้เรื่องของลูกศิษย์ทางธรรมอย่างผมคนนี้เป็นอย่างดีนะครับเนี่ย...





" ฝึกไปเรื่อยๆนะคะ...ที่บ้านหลวงปู่นี้จัดเดือนละสองครั้งในวันเสาร์-อาทิตย์

ของทุกๆต้นเดือนและปลายเดือน....เอาไว้เรามาเจอกันใหม่นะคะ...ธรรมสวัสดีค่ะ.."





ผมกล่าวร่ำลาอาจารย์ปราณีก่อนจะเดินลงมาที่บริเวณชั้นล่างของบ้านหลวงปู่

โดยไม่ลืมที่จะซื้อซีดีบันทึกเสียงของท่านและหนังสืออีกจำนวนหนึ่งกลับมาฝากคุณนายน้ำทิพย์


......




" เย็นนี้อยู่กินหมูจุ่มกับแม่มั้ยภัทร...ตรงหน้าปากซอยบ้านเรามีร้านใหม่มาตั้งน่ะ..

ตอนภัทรขับผ่านมาก็เห็นใช่ไหมลูก..."



" ฮะม๊า..."



" เอ้านี่สองพันที่แม่สัญญาไว้ว่าจะให้..." คุณนายน้ำทิพย์ยื่นธนบัตรใบละหนึ่งพันให้ผมสองใบ






ตกเย็นวันนั้นสรุปว่าโครงการสังสรรค์หมูกระทะของผมและเพื่อนๆในคณะเป็นอันต้องถูกพับไปชั่่วคราว....

ไอ้เจเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมจนขึ้นระดับมหาวิทยาลัย

ร้องตะโกนใส่ผมทางโทรศัพท์ทันทีที่รู้ว่าผมจะต้องอยู่ทานข้าวกับคุณนายน้ำทิพย์





" โห่..ไอ้ห่ะไหนเอ็งว่าจะมากินเหล้ากับพวกข้าไงวะ..."



" คือ..ข้าไปไม่ได้จริงๆ...เอาไว้วันหลังก็แล้วกัน.."



" เออๆ..เห็นแก่แม่เอ็งก็แล้วกัน..แต่เอ็งห้ามคืนคำนะเว้ย..."



" เออๆ..รู้แล้วล่ะน่า...แต่ข้าว่าช่วงนี้พวกเอ็งลดๆเหล้ากันหน่อยก็ดีนะ.."



" อะไรกันเมื่อก่อนเอ็งเอาแต่ชวนพวกข้าเป็นว่าเล่นเลยนะเว้ย...ไหงตอนนี้กลับกลายเป็นงั้นไปเล่า.."



" เออ..น่า..ช่างมันเหอะ..ไงก็อย่ากินเยอะละกันนะข้าเป็นห่วง..."





ผมรีบบอกปัดก่อนที่ภาพการทรมานผู้ทำผิดศีลข้อสุราเมรยะจะขึ้นมาอยู่ในหัว...






สองชั่วโมงต่อมาผมและคุณนายน้ำทิพย์นั่งรอชุดหมูจุ่มอยู่ภายในร้านเปิดใหม่หน้าปากซอย....

ผมคุยถึงเรื่องการฝึกวิชาถอดกายทิพย์ของหลวงปู่จันทร์ในวันนี้ให้คุณแม่ฟัง...

เธอทำตาโตเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด





" ตกลงพญามัจจุราชหล่อรึเปล่า..."



" โถ่ม๊า...นอกเรื่องแล้ว..."





ผมเล่าไปจนถึงตอนที่ผมได้พูดคุยกับอาจารย์ปราณี





" แล้วท่านรู้เรื่องที่ภัทรไปนรกได้ยังไงล่ะ.."



" นั่นสิม๊า...ผมก็ยังงงๆอยู่.."



" มาแล้วคร้าบ..."





เสียงของพนักงานเสิร์ฟภายในร้านขัดจังหวะการสนทนาของพวกเราแม่ลูก.....

หม้อดินเผาสำหรับจุ่มเนื้อหมูและต้มผักถูกยกมาตั้งไว้บนโต้ะ


คอหมูย่างถูกนำมาเสิร์ฟบนโต้ะของผมเป็นลำดับแรก





" อร่อย.." คุณนายน้ำทิพย์กับผมแย่งกันคีบคอหมูย่างเข้าปากแทบไม่ทัน..

แต่แล้วในขณะที่ผมกำลังเอร็ดอร่อยอยู่กับอาหารตรงหน้าอยู่นั้น

ภาพของหมูตัวอ้วนตัวหนึ่งที่กำลังดิ้นพราดๆก่อนจะถูกเชือดด้วยคมมีดของคนงานในโรงฆ่าสัตว์

ก็บังเกิดขึ้นราวกับภาพถ่ายต่อเนื่อง





" อ่อก.." ผมคายคอหมูย่างชิ้นที่กำลังเคี้ยวอยู่ในปากทิ้งทันที



" อ้าว...ภัทร...เป็นอะไรไปน่ะ...ไม่อร่อยหรือไง.."



" เปล่าม๊าคือ...."





ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อพนักงานอีกคนเดินถือถาดเนื้อหมูและตับที่หั่นจนเป็นแผ่นเข้ามาวางบนโต๊ะ





" อ้ะ..ภัทร...ของโปรดลูกมาแล้ว..."





ทันทีที่ผมเห็นเนื้อเหล่านั้นผมก็ถึงกับกลั้นอาเจียนไว้ไม่ไหวเพราะภาพที่เกิดขึ้นมาซ้อนทับอีกทีหนึ่งก็คือ...




ไส้หมูมากมายที่ถูกควักออกมาจากตัวของพวกมันซึ่งกำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนสายพาน...


ไส้หมูที่ยังมีเลือดเจิ่งนองถูกยัดใส่ถุงพลาสติกรวมกัน

จนไม่รู้ว่าภายในถุงนั้นมีไส้และตับรวมทั้งเครื่องในของหมูกี่ตัวกันแน่...

แต่ที่ผมรู้ก็คือว่า...พวกมันน่าขยะแขยงมากครับ





" อ้วก...." ผมรีบวิ่งลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนจะปล่อยความรู้สึกพะอืดพะอมไว้ใต้ต้นไม้ข้างร้าน





มันเกิดอะไรกับผมกันแน่ครับ.....นี่ผมยังปกติดีอยู่หรือเปล่า





หรือว่าผมจะกลายเป็นบ้าไปแล้ว





ใครก็ได้ช่วยตอบที!!..

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

พบพระนิพพานที่บ้านหลวงปู่(ตอนที่สอง)






                                                     ตอนที่สอง




" ภัทร...แม่มีอะไรจะบอก..." คุณนายน้ำทิพย์โทรศัพท์หาผมในเช้าวันรุ่งขึ้น



" อะไรม๊า..."



" พอดีวันนี้แม่ลืมไปว่ามีนัดไปทอดกฐินที่เพชรบุรีกับป้าเขียวหวานน่ะลูก..."



" แล้ว.."



" แม่ก็ไปบ้านหลวงปู่ไม่ได้น่ะสิ...งั้นเอางี้ละกัน...ภัทรไปแทนแม่นะ...."





คุณนายน้ำทิพย์ทันทีที่ได้ยินเสียงอิดออดของผมที่ไม่อยากทำตามคำขอร้องของเธอเท่าไหร่...

เธอจึงงัดไม้ตายสุดท้ายออกมา



" เดี๋ยวแม่ให้ตังค์สองพัน "



" ไปฮะ..." ผมรีบตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด...



เงินตั้งสองพันแลกกับการไปนั่งหลับในห้องฝึกแอร์เย็นๆเพียงไม่กี่ชั่วโมง



เป็นใครก็ไปทั้งนั้นแหล่ะครับ....เชื่อผมเถอะ





ผมขับรถออกมาจากหอพักของมหาวิทยาลัยก่อนจะมุ่งหน้าไปยังบ้านหลวงปู่ที่ตั้งอยู่

ในซอยสายชลย่านถนนพหลโยธินเช่นเคย.....วันนี้ผู้คนก็ยังคงคึกคักเหมือนเมื่อวาน....

เสียงจ่อกแจ่กจอแจดังไปทั่วบริเวณบ้านสามชั้นหลังนั้น





วันนี้ผมถูกจัดให้เข้าฝึกที่ชั้นสองรวมกับผู้ฝึกเก่าท่านอื่นๆ...ภายในห้อง"ญาณแปด"นี้

เป็นห้องโล่งกว้างที่ไม่ได้มีการแบ่งสัดส่วนเหมือนกับห้องฝึกชั้นสาม...





ผมมองไปรอบๆห้องและสายตาของผมก็ไปสะดุดกับเด็กชายวัยแปดขวบ

ที่สามารถตอบได้เกือบจะทุกคำถามเมื่อวานนี้....


นี่ผมต้องเจอเจ้าเด็กนี่อีกแล้วเหรอครับ..





คนเกือบหนึ่งร้อยคนนั่งเงียบกริบทันทีที่อาจารย์ผู้ฝึกสอนคนหนึ่งสั่งให้พวกเราทุกคนสงบเสียง

และปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด...ทันใดนั้นเองโทรทัศน์สีสองเครื่องก็ถูกเปิดขึ้นแทบจะทันที




ภาพของหลวงปู่จันทร์ขึ้นบนนั้นเหมือนเคย...เทปบันทึกภาพของหลวงปู่นำสวดไหว้ครู

และอาราธนาศีลห้าเว้นก็แต่พานดอกไม้ธูปเทียนที่คราวนี้ไม่ต้องใช้เนื่องจากผู้ฝึกทุกคนในห้องนี้ถือเป็นผู้ฝึกรายเก่า





ครั้งนี้ก็เหมือนกับครั้งก่อน....ที่แม้ว่าครูฝึกจะพยายามถามหรือผู้ฝึกคนอื่นๆจะพยายามตอบมากเท่าไหร่ผมก็ยัง

ไม่เห็นภาพตามนั้นเลยสักนิด....ผมนั่งหลับตาฟังเสียงของอาจารย์ผู้ฝึกสอนเคล้าเสียงแอร์ที่ดังหึ่งๆอยู่บนหัว


ก่อนจะเริ่มเคลิ้มหลับไป....




และแล้วผมก็เริ่มฝัน.....





ผมจำได้ว่าในฝันของผมนั้นมีแต่ความมืดมิด....




ผมพยายามเพ่งมองไปข้างหน้าแต่ผมก็ไม่สามารถเห็นอะไรเลยนอกจากหมอกที่บดบังเส้นทาง...เอ้ะไม่สิ...นี่ไม่

ใช่หมอกเสียหน่อย...แต่มันคือควันไฟต่างหากเพราะความรู้สึกร้อนระอุที่ผมกำลังสัมผัสได้....




" สวัสดี..." เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังของผม.....ชายสวมชุดขาวเนื้อตัวโปร่งใสราวกับผลึกแก้วส่งยิ้มมา

ให้ทันทีที่ผมหันไปมอง...



' ผีแน่ๆ...' ผมคิด



" ไม่ใช่ๆ..." ชายหนุ่มชุดขาวโบกมือไหวๆ " พญามัจจุราชต่างหาก.."





ผมมองชายที่อ้างตัวว่าเป็นพญายมราชตั้งแต่หัวจรดเท้า...สาบานได้เลยครับว่าเขาไม่มี

ความน่ากลัวเหมือนพญามัจจุราชที่ผมเคยเห็นในภาพยนตร์เลยสักนิด



" ไปเถอะได้เวลาแล้ว..."





ว่าไงนะครับ....ได้เวลาแล้ว...เวลาอะไรครับ....เวลาที่ผมจะต้องลงนรกอย่างนั้นหรือ...โอ้วม่ายยยย






ทันทีที่ความคิดของผมสิ้นสุดลง...จู่ๆร่างของผมก็มายืนอยู่หน้าภูเขาไฟสีดำทะมึนลูกหนึ่งที่ด้าน

ในมีลาวากำลังเดือดปุดๆไหลออกมาเป็นสาย....





เสียงร้องโหยหวนของอะไรบางอย่างดังออกมาจากใต้ลาวาเหล่านั้น...ทันทีที่ผมเพ่งมองเข้าไปผมก็ต้องตะลึงงัน...

สิ่งมีชีวิตที่ถูกลาวารดราดจนดำเกรียมนั้นคือมนุษย์ครับ...มนุษย์จริงๆไม่ใช่แสตนอิน..ผิวหนังของพวก

เขาปริแตกออกเหมือนกับปลาหมึกย่างที่คุณแม่ชอบซื้อในตลาดให้ผมทานบ่อยๆ...





" นี่ล่ะพวกที่ชอบฆ่าสัตว..ไม่เหมือนกับกระทะทองแดงที่เคยเห็นในทีวีใช่ไหม....."




ผมไม่ตอบอะไรเพราะมัวแต่กำลังอึ้ง




" เอาล่ะทีนี้ไปดูคนทำผิดศีลข้อลักทรัพย์กันบ้าง..."




ทันทีที่สิ้นเสียงของพญายมราช...ภาพที่มาปรากฏตรงหน้าของผมก็เปลี่ยนไป..




" ฉึก..ฉึก.."



เสียงที่ผมได้ยินไม่ใช่เสียงของรถไฟที่ดังฉึกๆ.....

หากแต่เป็นเสียงของอีกาทั้งเล็กและใหญ่ที่กำลังใช้ปากแหลมคมทั้งจิกและเจาะมนุษย์ทั้งหญิง

และชายร่างเปลือยเปล่าที่พยายามเอามือปัดสัตว์นรกพวกนั้นออกไปแต่ก็ไร้ผล...




" มนุษย์ที่ชอบขโมยทรัพย์สินของผู้อื่น..หรือฉ้อโกง..โกงกินบ้านโกงกินเมือง...

ก็ต้องถูกอีแร้งพวกนี้จิกกินแบบนี้แหล่ะ..."





หลังจากนั้นท่านพญายมราชที่ดูไม่เหมือนกับพญายมราชที่ผมเคยจิตนาการไว้เท่าไหร่นักก็พาผมท่องเมืองนรกต่อ...




ผมได้เห็นผู้คนมากมายที่ทำผิดศีลข้อกาเมกำลังปีนขึ้นไปบนท่อนเหล็กสูงเสียดฟ้าดำทมึน...


หนามแหลมที่ยื่นออกมาจากท่อนเหล็กเหล่านั้นครูดจนร่างกายของพวกเขาเหล่านั้นเป็นแผลเหวอะหวะ





ทันทีที่ผมได้พบกับการทรมานสำหรับผู้ทำผิดศีลข้อที่สาม....ภาพการทรมานสำหรับผู้ที่พูดปดก็บังเกิดขึ้น



" จ้อก.." เสียงน้ำจากกระบวยของนายนริยบาลเจ้าของร่างกายกำยำสีดำเข้มสวมโจงกระเบนสีเดียวกัน

กำลังไหลรินเข้าสู่ปากของหญิงชายหลายคนทีนั่งรายล้อมรอบบ่อน้ำบ่อหนึ่งอยู่

คล้ายกับสัตว์เลี้ยงนั่งรอคอยอาหารจากเจ้าของ





ทันทีที่น้ำจากกระบวยไหลรินเข้าปาก...เสียงดัง " ฉ่า.." ของน้ำกรดที่พร้อมจะกัดกร่อนริมฝีปาก

...ลิ้น...คออ่อนและกระเพาะอาหารก็ดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงร้องโหยหวน

ซึ่งเป็นที่น่าเวทนาต่อผู้พบเห็นยิ่งนัก



เมื่อมาถึงแดนที่ใช้ลงโทษผู้ทำผิดศีลข้อสุราเมรยะ....ผมก็กลับมายังภูเขาลูกเดิมที่เคยเห็นก่อนหน้านี้....

หากแต่มีคนจำนวนหนึ่งกำลังแย่งกันตักกินลาวาที่เดือดปุดๆนั้นด้วยความกระหาย.....พวกเขาร้องลั่นด้วย

ความแสบร้อนแต่ก็ไม่สามารถหยุดพฤติกรรมเหล่านั้นได้ราวกับต้องมนตร์สะกด

ให้กระทำการนั้นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย...

วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

พบพระนิพพานที่บ้านหลวงปู่(ตอนที่หนึ่ง)









                                                     ตอนที่หนึ่ง





ก่อนอื่นผมต้องขออธิบายก่อนนะครับว่า ที่ผมเล่าเรื่องราวต่อไปนี้ไม่ได้มีเจตนาจะอวดโอ้ตนเองแต่

อย่างใด หากแต่ผมต้องการที่จะให้ผู้ที่กำลังหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านได้รับรู้ถึงข้อเท็จจริงที่ได้เกิดขึ้น

ในชีวิตของผม..อดีตเด็กวัยรุ่นที่ไม่เคยสนใจในพระพุทธศาสนา




ประวัติส่วนตัวของผมก็เหมือนกับเด็กวัยรุ่นธรรมดาทั่วไปที่มีเที่ยวเล่นบ้างตามประสา...เอ้อ..ลืม

บอกไปครับ..ผมมีชื่อว่า ภัทร คุณแม่ของผมท่านชื่อน้ำทิพย์ หรือที่ผมชอบเรียกว่าคุณนายน้ำทิพย์นั่น

ล่ะ




คุณนายน้ำทิพย์..เธอคือสาวกของพระพุทธศาสนาโดยแท้ซึ่งแตกต่างจากลูกชายอย่างผมโดยสิ้น

เชิง




ปีนี้ผมอายุสิบเก้า...กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่สองของมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่งในกรุงเทพ....ผลการ

เรียนของผมเป็นอย่างไรน่ะหรือฮะ...หึๆ...ไม่อยากจะบอกว่าติดเอฟมาแล้วหลายตัว...ถ้าเปรียบคุณนาย

น้ำทิพย์เป็นด้านสว่างผมก็คงจะเป็นด้านมืดของท่านล่ะครับ




" ภัทร...วันเสาร์นี้มารับแม่ไปบ้านหลวงปู่จันทร์หน่อยนะลูก..." คุณแม่โทรศัพท์มาปลุกผมในเช้าตรู่

ของวันศุกร์...ผมงัวเงียลุกขึ้นนั่งบนเตียง


" บ้านคราย..นะม๊า..."


" บ้านหลวงปู่ที่อยู่ในซอยสายชลน่ะ...ตรงถนนพหลโยธิน...เห็นคุณป้าเขียวหวานเขาไปมาแล้วบอก

ว่าดีมากเลยนะ...."




คุณป้าเขียวหวานเธอคือหญิงชราเพื่อนบ้านของคุณนายน้ำทิพย์สาวกตัวยงของทัวร์ธรรมะเรียกได้

ว่าเจอการทอดกฐินหรือผ่าป่าที่วัดไหนเป็นต้องเห็นเธอที่นั่นอยู่ร่ำไปเพราะไม่มีงานไหนที่คุณป้าแกจะ

พลาด


" โอเคฮะแม่งั้นแค่นี้นะ..."


ผมรับตัดบทคุณนายน้ำทิพย์ก่อนจะล้มตัวลงนอนต่อ...





ทันทีที่เช้าวันเสาร์มาถึง....ผมไม่ลืมนัดกับคุณนายน้ำทิพย์ว่าจะขับรถไปรับเธอที่บ้านเพื่อมุ่งหน้าไป

ยังบ้านหลวงปู่จันทร์ที่ตั้งอยู่ในซอยสายชลบนถนนพหลโยธิน




เมื่อมาถึงบ้านหลวงปู่ที่คุณแม่สาธยายมาตลอดทางว่าดีอย่างงั้น...ศักสิทธิ์อย่างโน้น...แต่ในความ

คิดของผมบ้านหลวงปู่จันทร์ก็คือบ้านเดี่ยวสามชั้นธรรมดาๆที่ไม่ได้มีความน่าสนใจอะไรเลย...แต่ทว่า

ผู้คนที่เข้าออกพลุกพล่านราวกับมีงานมหกรรมคอนเสิร์ตเพลงร็อคทำให้ผมรู้สึกแปลกใจเหลือ

เกิน...ภายในบ้านธรรมดาหลังนี้ต้องมีพลังลึกลับบางอย่างที่ดึงดูดให้ผู้คนพากันหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่

ขาดสายแน่นอน...แต่มันคืออะไรกันนะ..ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของผมถูกกระตุ้นตื่นขึ้นมาเสียแล้ว...




ผมหาที่จอดรถภายในซอยนั้นอย่างค่อนข้างยากลำบาก....ผู้คนที่แน่นขนัดทำให้ผมรู้สึกอึดอัดทันที

ที่ลงจากรถ.....ด้านนอกรอบรั้วของบ้านหลวงปู่จันทร์มีการตั้งร้านขายของมากมายไม่ว่าจะเป็นร้าน

ดอกไม้สด..ร้านก๋วยเตี๋ยว...ร้านข้าวมันไก่....ขนมขบเคี้ยวต่างๆนานาชนิดรวมทั้งน้ำผักผลไม้เพื่อสุขภาพ




คุณนายน้ำทิพย์ของผมซื้อน้ำว่านหางจรเข้มาจากแม่ค้าท่านหนึ่งที่บรรยายสรรพคุณว่าเป็นว่านหาง

จรเข้พันธุ์ดีที่ขึ้นไปเก็บมาจากบนดอยด้วยตัวของเธอเอง




คุณนายน้ำทิพย์พาผมฝ่าฝูงชนเข้ามาภายในบ้านเดี่ยวสามชั้นหลังนั้น....ผมมองไปรอบๆบริเวณ

ทันทีที่เข้ามาถึง...ภายในนั้นผมสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปราวกับอยู่กันคนละโลก...ในนี้ทั้งเย็น

และสงบ...เสียงดังจอแจจากภายนอกไม่สามารถรบกวนผู้คนที่กำลังเลือกซื้อหนังสือธรรมะบนชั้นวางได้

เลยแม้แต่น้อย....ผมยื่นหน้าเข้าไปมองป้ายราคาที่ติดไว้....หนังสือบางเล่มมีราคาเพียงห้าบาทเท่านั้นซึ่ง

นับว่าถูกมากสำหรับผม




" ภัทร...เดี๋ยววันนี้เราขึ้นไปชั้นบนกันนะ.."


" ข้างบนมีอะไรม๊า..."


" แดนนิพพานไง..."





ผมมองหน้าคุณนายน้ำทิพย์ด้วยความสงสัย...เมื่อกี้ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหมครับ...คุณแม่ผมท่าน

กำลังบอกว่าชั้นบนของบ้านหลังนี้มีแดนนิพพานกำลังรอให้พวกเราขึ้นไปพบอยู่งั้นหรือ...คุณนายน้ำทิพย์

นี่ต้องศึกษาธรรมะมากจนเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ




แดนนิพพานในความคิดของผมก็คือ...สถานที่สำหรับผู้ละกิเลสได้จนหมด...อย่างสมเด็จพระสัมมา

สัมพุทธเจ้า...แต่เอ..พระพุทธเจ้าผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์นี่มีกี่พระองค์นะครับ...ผมเองก็จำไม่ค่อยได้

เหมือนกันเพราะไม่ค่อยได้ตั้งใจฟังเวลาอาจารย์สอนเท่าไหร่..




แต่ผมไม่ใช่พระอรหันต์นี่ครับจะเข้าแดนนิพพานได้เหรอ...และกิเลสผมก็ยังตัดไม่ได้เสียด้วย


" ท่านที่เพิ่งมาฝึกเป็นครั้งแรกกรุณาขึ้นมารวมตัวกันที่ชั้นสาม...ส่วนท่านเก่าที่เคยมาฝึกแล้วกรุณา

ขึ้นชั้นสองค่ะ...ประตูจะปิดแล้ว...."


" เร็วๆ...เดี๋ยวไม่ทัน..."




คุณนายน้ำทิพย์ฉุดมือผมขึ้นบั้นไดไปชั้นสามตามคำบอกของหญิงชราร่างเล็กเจ้าระเบียบหนึ่งในผู้

ดูแลสถานที่


" มาใหม่ต้องทำยังไงบ้างคะ..." คุณนายน้ำทิพย์ร้องถามผู้ดูแลที่กำลังจัดพานดอกไม้อยู่หน้าห้อง

กระจก....ผมมองเข้าไปด้านในก็พบกับผู้คนแน่นขนัดเต็มไปหมดราวกับมานั่งชุมนุมประท้วงอะไรบาง

อย่าง


" หยอดเงินค่าดอกไม้ธูปเทียนใส่กล่องตามศรัทราค่ะ...แล้วก็เอาเงินหนึ่งสลึงใส่ลงในพาน

ดอกไม้..เดี๋ยวเราจะไหว้ครูพร้อมกันนะคะ..."


หญิงสาวผู้ดูแลสถานที่มองผมและคุณนายน้ำทิพย์ผ่านแว่นกรอบหนาทรงสี่เหลี่ยมก่อนจะกระตุกยิ้ม

ที่มุมปากเล็กน้อย





หลังจากที่ทำตามขั้นตอนที่เธอแนะนำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...คุณนายน้ำทิพย์ก็พาผมเข้าไปกราบ

พระพุทธรูปที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านในห้องก่อนจะวางดอกไม้ธูปเทียนไว้รวมกับพานของคนอื่นๆตรงหน้า




หลังจากที่ผู้ดูแลสถานที่คนอื่นๆสั่งให้พวกเราที่นั่งอยู่ภายในห้องสงบเสียงพูดคุยและปิดเครื่องมือ

สื่อสารทุกชนิดแล้ว....โทรทัศน์สีสองเครื่องที่ถูกแขวนไว้ทางด้านซ้ายและขวาของผนังห้องก็ถูกเปิดขึ้น




ภาพที่ปรากฏคือพระชรารูปหนึ่งสวมแว่นตาทรงกลมนั่งขัดสมาธิอยู่บนอาสนะ...ด้านหน้ามีตาลปัตร

และไมค์ขยายเสียงพร้อมขาตั้งเตรียมไว้สำหรับการทำพิธีนำสวดเพื่อไหว้ครู




ผมที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักได้แต่นั่งประนมมือปรกๆ...ปากก็ว่าตามคำพระไปส่งๆพร้อมกับคน

อื่นๆ...หลังจากเสร็จสิ้นการทำพิธีไหว้ครูแล้วตาของผมก็เหลือบไปเห็นผู้ฝึกสอนสิบกว่าคนที่นั่งปะปนอยู่

กับคนอื่นๆในห้องลุกขึ้นยืนแนะนำตัว




ผมและคุณนายน้ำทิพย์ถูกจัดให้เข้าฝึกกับอาจารย์ปราณีหญิงร่างท้วมท่าทางใจดี...เธอนำผมและ

คุณแม่รวมทั้งคนอื่นๆอีกจำนวนหนึ่งเข้าไปในห้องกระจกขนาดไม่กว้างขวางนัก...ผมมองดูห้องกระจกสิบ

กว่าห้องที่ถูกกั้นออกมาจากห้องใหญ่ที่พวกเราเพิ่งเสร็จสิ้นการทำพิธีไหว้ครูไปหมาดๆ




ขณะนี้ทุกห้องคราคร่ำไปด้วยผู้คนรวมทั้งผู้ฝึกสอนที่พากันกระจายตัวเข้าไปคุม


" สำหรับผู้ที่มาฝึกใหม่อาจจะยังไม่ทราบนะคะว่า...ที่นี่คือบ้านและที่ดินของพลอากาศเอกแสง สุริย

ศักดิ์ที่ได้มอบให้แก่หลวงปู่จันทร์ที่มานำสวดเราในเทปบันทึกภาพเมื่อกี้...พลอากาศเอกแสงท่านศรัทธา

ในตัวของหลวงปู่จันทร์มากท่านจึงได้มอบบ้านหลังนี้ให้แก่หลวงปู่เพื่อใช้ในการฝึกสอนลูกหลาน...ดังนั้น

เรามาร่วมอนุโมทนาบุญให้กับผู้มีพระคุณต่อเราที่ได้จากโลกวุ่นวายนี้ไปอยู่ในแดนนิพพานแล้วพร้อมกัน

ค่ะ....."


" สาธุ..."




ผมนั่งเอาหลังพิงผนังห้องด้วยความรู้สึกง่วงเต็มทนในขณะที่คนอื่นๆตั้งใจฟังอาจารย์ผู้

ฝึกสอนกันตาแป๋ว


" ก่อนที่จะมรณะภาพ...หลวงปู่จันทร์ได้ถ่ายทอดวิชาที่มีคุณค่าเอาไว้ให้แก่ลูกหลานซึ่งนั่นก็คือวิชา

" แยกกายทิพย์" ที่เราจะทำการฝึกกันวันนี้นะคะ......วันนี้เราจะมาฝึกจิตเพื่อถอดกายทิพย์เดินทางไปท่อง

เที่ยวในแดนต่างๆค่ะ..."




ผมนั่งมองอาจารย์ผู้ฝึกสอนก่อนที่สมองชั้นเลวของผมจะคิดอกุศลไปต่างๆนานา...นี่มันเป็นเรื่องงม

งายชัดๆ


" ก่อนอื่นหลับตาและพักจิตให้สบายนะคะ...อย่าเครียดอย่าเคร่งและอย่าสงสัยใดๆทั้งสิ้น....วิชานี้ถูก

ถ่ายทอดมาจากหลวงปู่จันทร์ที่ต้องการให้มนุษย์โลกพ้นจากความทุกข์..."


" ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา....เราไม่ใช่เจ้าของร่างกาย...ร่างกายไม่มีในเรา....เราไม่มีในร่างกาย..."




เมื่อผมเริ่มหลับตาตามที่อาจารย์ผู้ฝึกสอนบอก...จิตของผมที่ควรจะสงบก็เริ่มเตลิดไปทั่ว...คำถามที่

ว่าผมกำลังมานั่งทำเบื้อกอะไรอยู่ที่นี่กำลังผุดขึ้นมาในมโนสำนึกพร้อมกับคำถามที่ว่าถ้าไอ้ร่างกายนี้มัน

ไม่ใช่ของผมแล้วแท้จริงมันเป็นของใคร....ร่างกายที่อยู่กับผมมานานถึงสิบเก้าปีเต็ม...แต่จู่ๆก็มีใครไม่รู้

มาบอกว่านี่มันไม่ใช่ร่างกายของผม...คิดแล้วก็หลอนชะมัด...นี่ผมต้องทนอยู่กับใครมาตลอดทั้งชีวิตครับ

เนี่ย




" ร่างกายเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์...ทุกวันนี้ถ้าเกิดเป็นมนุษย์แล้วมีความสุขจริงทำไมบางวันเราถึงต้อง

เจอกับปัญหา...ทำไมถึงไม่ได้มีความสุขทุกวัน...นักเรียนต้องแข่งขันกันเรียนดี...ผู้ใหญ่บางคนต้องชิงดี

ชิงเด่นกัน..เหนื่อยกันบ้างไหมคะกับชีวิตที่ผ่านมา...."




" ถ้าอย่างนั้นก็บอกได้เลยว่าการเกิดเป็นมนุษย์มีแต่ความทุกข์ไม่ได้ดีจริงอย่างที่ทุกคนเข้าใจ...คน

หล่อก็มีทุกข์...คนขี้เหร่ก็มีทุกข์...คนจนก็มีทุกข์...คนรวยก็เป็นทุกข์ได้เหมือนกัน..ถ้าอาจารย์บอกว่ามี

สถานที่อยู่แห่งหนึ่งที่ไม่ต้องมีความแก่..ความตาย..ความเจ็บไข้ได้ป่วย...อากาศไม่ร้อนไป..ไม่เย็น

ไป...ไม่มีคนจนกว่า..ไม่มีคนรวยกว่า...ดินแดนที่ไม่มีทุกขเวทนา...."




" ทำจิตให้ว่าง...ทำกายให้ว่าง...ใช้ใจสัมผัส...ให้ใจเห็นภาพไม่ใช้ลูกตาเนื้อเห็น..วันนี้อาจารย์จะพา

ไปเที่ยวในแดนนิพพาน..."





ผมสะดุดกับคำของอาจารย์ผู้ฝึกสอน...ว่าไงนะ...ท่องเที่ยวในแดนนิพพานอย่างนั้นหรือ...นี่อาจารย์

ไม่ได้กำลังล้อผมเล่นอยู่ใช่ไหมครับ




" ขอบารมีของพระพุทธเจ้า...ขอให้ท่านมาปรากฏเหนือกายของพวกเราทุกคน..."


" ผมเห็นท่านมาแล้วครับ.."  เด็กชายวัยแปดขวบที่นั่งอยู่ข้างๆกันกับผมร้องออกมาแทบจะทันที


" รัศมีกายของท่านเป็นสีอะไรคะ.."


" สีเหลืองฮะ..."




ผมเผยอเปลือกตาขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองว่ารอบๆห้องกระจกแคบๆนี้ติดโปสเตอร์รูปภาพพระพุทธเจ้า

เอาไว้หรือเปล่า...แต่ในห้องนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากผนังห้องสีขาวกับผ้าม่านสีครีมที่ใช้บังแดดจาก

ภายนอกหน้าต่างเท่านั้น


" เห็นรูปโฉมของพระองค์เป็นอย่างไรบ้างคะ..."


" ท่านมีเนื้อใสเป็นแก้วฮะ..."




คราวนี้ผมยื่นหน้าเข้าไปจ้องเด็กคนนั้นอย่างสงสัย..อะไรกันเจ้าเด็กนี่...ทั้งๆที่ไม่ได้ลืมตาแท้ๆแต่

กลับเห็นภาพเป็นตุเป็นตะได้..นี่แสดงว่าถ้าไม่เป็นบ้าจินตนาการของเจ้าเด็กคนนี้ต้องสูงมากแน่ๆ..


" พระองค์มีสีหน้าเป็นอย่างไรบ้างคะ..."


" ยิ้มแป้นเลยค่ะ.." คราวนี้คุณนายน้ำทิพย์ของผมเป็นคนตอบ...อะไรกัน...แม้แต่คุณแม่ก็ยังเป็นไป

กับเขาด้วยเหรอเนี่ย...


" ค่ะ..ดิชั้นก็เห็น.."


" ดิชั้นเห็นพระอานนท์สาวกของพระพุทธเจ้าด้วยนะคะ.."


" ใช่ครับ...ผมก็เห็น.."




ผมมองหน้าทุกคนที่กำลังหลับตาด้วยความตะลึง...นี่มันอะไรกัน...ทำไมทุกคนถึงเห็นภาพที่เป็น

ไปในทางเดียวกันได้ขนาดนี้...ทั้งๆที่ผมพยายามเค้นภาพจนนัยย์ตาแทบจะทะลุออกมานอกเบ้าแท้ๆแต่

กลับไม่พบอะไรเลยสักอย่างนอกจากความมืดและอาการปวดหัวตึ้บๆ




" อย่าใช้ตาเนื้อในการมอง...ให้ใช้ใจมองนะคะจึงจะสำเร็จ...เอาล่ะค่ะทีนี้เรามาดูกายทิพย์หรือที่

เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอทิสมานกาย....เป็นอย่างไรบ้างคะ...กายทิพย์ของเราตอนนี้..."


" ใสแจ๋วเลยครับ..." เด็กชายวัยแปดขวบตอบ




เอาอีกแล้วครับ...มันยังไงกันนะในขณะที่ทุกคนตอบกันปาวๆแต่ผมกลับนั่งอ้าปากหวอไม่รู้เรื่อง

อะไรกับเขาเอาเสียเลย


" คราวนี้น้อมจิตขอองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าให้ช่วยนำเราขึ้นไปยังแดนนิพพาน...เห็นวิมานของ

พระพุทธองค์ไหมคะ..."


" เห็นครับ..."


" ทำจากแก้วใสทั้งหลังเลยค่ะ..."


" คราวนี้ลองดูซิคะว่าเรามีวิมานบนนิพพานกันบ้างหรือเปล่า..."




คราวนี้เป็นครั้งแรกที่ผมสังเกตุเห็นว่าไม่มีใครส่งเสียงตอบ..


" ใช้ความรู้สึกแรกตอบเลยค่ะ...อย่าสงสัยในอารมณ์แรกของจิต...มีหรือไม่มีก็ตอบมาตามความ

จริง..."


" มีฮะ.."




" มีค่ะ.."



" ไม่มีครับ..." ผมตอบเป็นคนสุดท้ายในขณะที่ทุกคนในห้องพากันเงียบกริบ


" ถ้าไม่มีก็สร้างเลยค่ะ.."

 " หา..."


" ระลึกถึงบุญบารมีที่คุณเคยทำไม่ว่าจะเป็นการทำบุญตักบาตร...หยอดเงินช่วยเหลือสัตว์พิการหรือ

อะไรก็ได้ค่ะ...แม้จะทำด้วยเงินเพียงเล็กน้อยก็สามารถนำกุศลเหล่านั้นมาสร้างเป็นวิมานได้ค่ะ..."




จะว่าไปแล้วผมก็ห่างหายจากการทำบุญไปนานหลายปีโข...จนจำแทบไม่ได้แล้วว่าทำบุญครั้ง

สุดท้ายเมื่อไหร่...ขณะที่กำลังนึกถึงบุญบารมีที่เคยทำอยู่นั้นจู่ๆภาพที่ผมเคยบวชเป็นสามเณรฤดูร้อน

สมัยยังเด็กที่คุณนายน้ำทิพย์เอารถบังคับวิทยุมาหลอกล่อกว่าที่ผมจะยอมก็ผุดขึ้นมาภายในใจอย่าง

ไม่ทันตั้งตัว




แต่จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลยนอกจากความมืดที่ปรากฏอยู่ภายในใจ




" ทีนี้ทุกคนก็มีวิมานเป็นของตัวเองแล้วนะคะ...ไหนลองเข้าไปสำรวจดูด้านในสิคะ..."




หลังจากที่อาจารย์ผู้ฝึกสอนร้องบอกให้ทุกคนในห้องเข้าไปดูวิมานกันพอหอมปากหอมคอ

แล้ว...คราวนี้เธอก็นำพาพวกเราเข้าไปยังสวรรค์ที่ผมก็ยังไม่เห็นอะไรอยู่ดีนั่นแหล่ะ..


" เห็นพระอินทร์ไหมคะ..."


" เห็นครับ..."


" กายของท่านเป็นสีอะไร.."


" ก็ต้องสีเขียวสิครับ..."


" แต่ดิฉันเห็นเป็นสีขาวนะคะ..." คุณนายน้ำทิพย์ของผมแย้งขึ้นมาทันที


" เอาล่ะค่ะ...ไม่ว่าจะเห็นเป็นอย่างไรก็ถูกต้องเหมือนกันหมด...จริงๆแล้วกายของพระอินทร์เป็นสี

ขาวแต่เพราะ.."


" เพราะไอ้ลูกกลมๆที่อยู่บนชฎาส่องแสงลงมาโดนร่างของท่านเลยทำให้กายของท่านเป็นสีเขียว

ใช่ไหมฮะ..." เจ้าเด็กแปดขวบที่นั่งข้างผมส่งเสียงเจื้อยแจ้วขึ้นมาอีก


" ถูกต้องแล้ว...นั่นน่ะ..เรียกว่ามรกต..."




หลังจากเวลาล่วงเลยมาจนถึงหนึ่งชั่วโมงเต็ม...ช่วงสุดท้ายของการฝึกวิชา "แยกกายทิพย์" ก็มา

ถึง...ทุกคนลืมตามานั่งล้อมวงอาจารย์ผู้ฝึกสอนก่อนที่หญิงสาวคนหนึ่งจะยกมือขึ้นถามทันทีที่อาจารย์

ปราณีเปิดโอกาส




" อาจารย์คะ...ทำไมดิฉันถึงเห็นบ้างไม่เห็นบ้างล่ะคะ..บางภาพก็ชัดบางภาพก็ไม่ชัด..บางทีก็ไม่เห็น

อะไรไปเลยก็มีค่ะ..."


" ไม่เป็นไรนะคะ..นั่นแสดงว่าคุณต้องฝึกฝนอีกสักนิด...อย่าลืมนะคะเรามีนัดกันวันพรุ่งนี้อีกครั้ง...ทุก

คนในห้องนี้จะต้องลงไปฝึกที่ห้อง "ญาณแปด" ที่ชั้นสองค่ะ...รับรองว่าถ้ามาฝึกที่ห้องนี้ทุกคนจะเห็นภาพ

ได้ชัดขึ้น..แต่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลด้วยนะคะ...ยังไงอย่าลืมขึ้นมารายงานอาจารย์ด้วยก็แล้วกันว่าเห็น

อะไรกันบ้าง...สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกันนะคะ..นี่ก็เลยเวลามามากแล้ว...ธรรมะสวัสดีค่ะ..."




หลังจากที่ลูกศิษย์ทางธรรมร่ำลาอาจารย์ผู้ฝึกสอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...ผมจึงขับรถไปส่งคุณนาย

น้ำทิพย์ก่อนจะกลับมายังหอพักของตนเองที่มหาวิทยาลัย...




เสียงของคุณนายน้ำทิพย์ก่อนลงจากรถยังคงดังกึกก้องไปทั่ว



" พรุ่งนี้อย่าลืมมารับแม่ไปบ้านหลวงปู่อีกนะลูก..."

พบพระนิพพานที่บ้านหลวงปู่






              เชื่อไหมครับว่า คนจนที่สุด คนรวยที่สุด คนหน้าตาดีที่สุดไปจนถึงคนที่ขี้เหร่ที่สุดก็สามารถไป

เกิดบนนิพพานได้....นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตของผมเด็กเรียนติดเอฟทั้งปีทั้งชาติ...บุญบารมีไม่เคย

สร้าง...เรื่องผีไม่เคยเชื่อ...แต่ชีวิตของผมเปลี่ยนไปเมื่อได้พบกับบ้านหลวงปู่!!






             เรื่องจริงอิงนิยายของภัทร..เด็กธรรมดาคนหนึ่งที่มาพบเจอกับวิชา "ถอดกายทิพย์" ของหลวงปู่

จันทร์วัดแก่นธาร..จนทำให้เขาสามารถท่องเที่ยวในนรก..สวรรค์และนิพพานรวมทั้งยังสามารถระลึกชาติ

ได้อีกด้วย....จากเด็กเกเรที่ไม่เคยเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดแต่มาวันนี้ความคิดเขาต้องเปลี่ยนไป

ตลอดกาลพร้อมทั้งปฏิญาณตนไว้อย่างแน่วแน่แล้วว่า " ชาติหน้าผมจะขอเกิดในแดนนิพพาน "


               แดนนิพพานไม่ใช่ดินแดนที่ว่างเปล่าไร้สิ่งมีชีวิต...แต่นิพพานคือแดนที่ทุกคนไม่ว่าจะยากดีมี

จนแค่ไหนก็สามารถไปเกิดได้...โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นพระอรหันต์!!