ตอนที่หนึ่ง
ก่อนอื่นผมต้องขออธิบายก่อนนะครับว่า ที่ผมเล่าเรื่องราวต่อไปนี้ไม่ได้มีเจตนาจะอวดโอ้ตนเองแต่
อย่างใด หากแต่ผมต้องการที่จะให้ผู้ที่กำลังหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านได้รับรู้ถึงข้อเท็จจริงที่ได้เกิดขึ้น
ในชีวิตของผม..อดีตเด็กวัยรุ่นที่ไม่เคยสนใจในพระพุทธศาสนา
ประวัติส่วนตัวของผมก็เหมือนกับเด็กวัยรุ่นธรรมดาทั่วไปที่มีเที่ยวเล่นบ้างตามประสา...เอ้อ..ลืม
บอกไปครับ..ผมมีชื่อว่า ภัทร คุณแม่ของผมท่านชื่อน้ำทิพย์ หรือที่ผมชอบเรียกว่าคุณนายน้ำทิพย์นั่น
ล่ะ
คุณนายน้ำทิพย์..เธอคือสาวกของพระพุทธศาสนาโดยแท้ซึ่งแตกต่างจากลูกชายอย่างผมโดยสิ้น
เชิง
ปีนี้ผมอายุสิบเก้า...กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่สองของมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่งในกรุงเทพ....ผลการ
เรียนของผมเป็นอย่างไรน่ะหรือฮะ...หึๆ...ไม่อยากจะบอกว่าติดเอฟมาแล้วหลายตัว...ถ้าเปรียบคุณนาย
น้ำทิพย์เป็นด้านสว่างผมก็คงจะเป็นด้านมืดของท่านล่ะครับ
" ภัทร...วันเสาร์นี้มารับแม่ไปบ้านหลวงปู่จันทร์หน่อยนะลูก..." คุณแม่โทรศัพท์มาปลุกผมในเช้าตรู่
ของวันศุกร์...ผมงัวเงียลุกขึ้นนั่งบนเตียง
" บ้านคราย..นะม๊า..."
" บ้านหลวงปู่ที่อยู่ในซอยสายชลน่ะ...ตรงถนนพหลโยธิน...เห็นคุณป้าเขียวหวานเขาไปมาแล้วบอก
ว่าดีมากเลยนะ...."
คุณป้าเขียวหวานเธอคือหญิงชราเพื่อนบ้านของคุณนายน้ำทิพย์สาวกตัวยงของทัวร์ธรรมะเรียกได้
ว่าเจอการทอดกฐินหรือผ่าป่าที่วัดไหนเป็นต้องเห็นเธอที่นั่นอยู่ร่ำไปเพราะไม่มีงานไหนที่คุณป้าแกจะ
พลาด
" โอเคฮะแม่งั้นแค่นี้นะ..."
ผมรับตัดบทคุณนายน้ำทิพย์ก่อนจะล้มตัวลงนอนต่อ...
ทันทีที่เช้าวันเสาร์มาถึง....ผมไม่ลืมนัดกับคุณนายน้ำทิพย์ว่าจะขับรถไปรับเธอที่บ้านเพื่อมุ่งหน้าไป
ยังบ้านหลวงปู่จันทร์ที่ตั้งอยู่ในซอยสายชลบนถนนพหลโยธิน
เมื่อมาถึงบ้านหลวงปู่ที่คุณแม่สาธยายมาตลอดทางว่าดีอย่างงั้น...ศักสิทธิ์อย่างโน้น...แต่ในความ
คิดของผมบ้านหลวงปู่จันทร์ก็คือบ้านเดี่ยวสามชั้นธรรมดาๆที่ไม่ได้มีความน่าสนใจอะไรเลย...แต่ทว่า
ผู้คนที่เข้าออกพลุกพล่านราวกับมีงานมหกรรมคอนเสิร์ตเพลงร็อคทำให้ผมรู้สึกแปลกใจเหลือ
เกิน...ภายในบ้านธรรมดาหลังนี้ต้องมีพลังลึกลับบางอย่างที่ดึงดูดให้ผู้คนพากันหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่
ขาดสายแน่นอน...แต่มันคืออะไรกันนะ..ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของผมถูกกระตุ้นตื่นขึ้นมาเสียแล้ว...
ผมหาที่จอดรถภายในซอยนั้นอย่างค่อนข้างยากลำบาก....ผู้คนที่แน่นขนัดทำให้ผมรู้สึกอึดอัดทันที
ที่ลงจากรถ.....ด้านนอกรอบรั้วของบ้านหลวงปู่จันทร์มีการตั้งร้านขายของมากมายไม่ว่าจะเป็นร้าน
ดอกไม้สด..ร้านก๋วยเตี๋ยว...ร้านข้าวมันไก่....ขนมขบเคี้ยวต่างๆนานาชนิดรวมทั้งน้ำผักผลไม้เพื่อสุขภาพ
คุณนายน้ำทิพย์ของผมซื้อน้ำว่านหางจรเข้มาจากแม่ค้าท่านหนึ่งที่บรรยายสรรพคุณว่าเป็นว่านหาง
จรเข้พันธุ์ดีที่ขึ้นไปเก็บมาจากบนดอยด้วยตัวของเธอเอง
คุณนายน้ำทิพย์พาผมฝ่าฝูงชนเข้ามาภายในบ้านเดี่ยวสามชั้นหลังนั้น....ผมมองไปรอบๆบริเวณ
ทันทีที่เข้ามาถึง...ภายในนั้นผมสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปราวกับอยู่กันคนละโลก...ในนี้ทั้งเย็น
และสงบ...เสียงดังจอแจจากภายนอกไม่สามารถรบกวนผู้คนที่กำลังเลือกซื้อหนังสือธรรมะบนชั้นวางได้
เลยแม้แต่น้อย....ผมยื่นหน้าเข้าไปมองป้ายราคาที่ติดไว้....หนังสือบางเล่มมีราคาเพียงห้าบาทเท่านั้นซึ่ง
นับว่าถูกมากสำหรับผม
" ภัทร...เดี๋ยววันนี้เราขึ้นไปชั้นบนกันนะ.."
" ข้างบนมีอะไรม๊า..."
" แดนนิพพานไง..."
ผมมองหน้าคุณนายน้ำทิพย์ด้วยความสงสัย...เมื่อกี้ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหมครับ...คุณแม่ผมท่าน
กำลังบอกว่าชั้นบนของบ้านหลังนี้มีแดนนิพพานกำลังรอให้พวกเราขึ้นไปพบอยู่งั้นหรือ...คุณนายน้ำทิพย์
นี่ต้องศึกษาธรรมะมากจนเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ
แดนนิพพานในความคิดของผมก็คือ...สถานที่สำหรับผู้ละกิเลสได้จนหมด...อย่างสมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้า...แต่เอ..พระพุทธเจ้าผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์นี่มีกี่พระองค์นะครับ...ผมเองก็จำไม่ค่อยได้
เหมือนกันเพราะไม่ค่อยได้ตั้งใจฟังเวลาอาจารย์สอนเท่าไหร่..
แต่ผมไม่ใช่พระอรหันต์นี่ครับจะเข้าแดนนิพพานได้เหรอ...และกิเลสผมก็ยังตัดไม่ได้เสียด้วย
" ท่านที่เพิ่งมาฝึกเป็นครั้งแรกกรุณาขึ้นมารวมตัวกันที่ชั้นสาม...ส่วนท่านเก่าที่เคยมาฝึกแล้วกรุณา
ขึ้นชั้นสองค่ะ...ประตูจะปิดแล้ว...."
" เร็วๆ...เดี๋ยวไม่ทัน..."
คุณนายน้ำทิพย์ฉุดมือผมขึ้นบั้นไดไปชั้นสามตามคำบอกของหญิงชราร่างเล็กเจ้าระเบียบหนึ่งในผู้
ดูแลสถานที่
" มาใหม่ต้องทำยังไงบ้างคะ..." คุณนายน้ำทิพย์ร้องถามผู้ดูแลที่กำลังจัดพานดอกไม้อยู่หน้าห้อง
กระจก....ผมมองเข้าไปด้านในก็พบกับผู้คนแน่นขนัดเต็มไปหมดราวกับมานั่งชุมนุมประท้วงอะไรบาง
อย่าง
" หยอดเงินค่าดอกไม้ธูปเทียนใส่กล่องตามศรัทราค่ะ...แล้วก็เอาเงินหนึ่งสลึงใส่ลงในพาน
ดอกไม้..เดี๋ยวเราจะไหว้ครูพร้อมกันนะคะ..."
หญิงสาวผู้ดูแลสถานที่มองผมและคุณนายน้ำทิพย์ผ่านแว่นกรอบหนาทรงสี่เหลี่ยมก่อนจะกระตุกยิ้ม
ที่มุมปากเล็กน้อย
หลังจากที่ทำตามขั้นตอนที่เธอแนะนำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...คุณนายน้ำทิพย์ก็พาผมเข้าไปกราบ
พระพุทธรูปที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านในห้องก่อนจะวางดอกไม้ธูปเทียนไว้รวมกับพานของคนอื่นๆตรงหน้า
หลังจากที่ผู้ดูแลสถานที่คนอื่นๆสั่งให้พวกเราที่นั่งอยู่ภายในห้องสงบเสียงพูดคุยและปิดเครื่องมือ
สื่อสารทุกชนิดแล้ว....โทรทัศน์สีสองเครื่องที่ถูกแขวนไว้ทางด้านซ้ายและขวาของผนังห้องก็ถูกเปิดขึ้น
ภาพที่ปรากฏคือพระชรารูปหนึ่งสวมแว่นตาทรงกลมนั่งขัดสมาธิอยู่บนอาสนะ...ด้านหน้ามีตาลปัตร
และไมค์ขยายเสียงพร้อมขาตั้งเตรียมไว้สำหรับการทำพิธีนำสวดเพื่อไหว้ครู
ผมที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักได้แต่นั่งประนมมือปรกๆ...ปากก็ว่าตามคำพระไปส่งๆพร้อมกับคน
อื่นๆ...หลังจากเสร็จสิ้นการทำพิธีไหว้ครูแล้วตาของผมก็เหลือบไปเห็นผู้ฝึกสอนสิบกว่าคนที่นั่งปะปนอยู่
กับคนอื่นๆในห้องลุกขึ้นยืนแนะนำตัว
ผมและคุณนายน้ำทิพย์ถูกจัดให้เข้าฝึกกับอาจารย์ปราณีหญิงร่างท้วมท่าทางใจดี...เธอนำผมและ
คุณแม่รวมทั้งคนอื่นๆอีกจำนวนหนึ่งเข้าไปในห้องกระจกขนาดไม่กว้างขวางนัก...ผมมองดูห้องกระจกสิบ
กว่าห้องที่ถูกกั้นออกมาจากห้องใหญ่ที่พวกเราเพิ่งเสร็จสิ้นการทำพิธีไหว้ครูไปหมาดๆ
ขณะนี้ทุกห้องคราคร่ำไปด้วยผู้คนรวมทั้งผู้ฝึกสอนที่พากันกระจายตัวเข้าไปคุม
" สำหรับผู้ที่มาฝึกใหม่อาจจะยังไม่ทราบนะคะว่า...ที่นี่คือบ้านและที่ดินของพลอากาศเอกแสง สุริย
ศักดิ์ที่ได้มอบให้แก่หลวงปู่จันทร์ที่มานำสวดเราในเทปบันทึกภาพเมื่อกี้...พลอากาศเอกแสงท่านศรัทธา
ในตัวของหลวงปู่จันทร์มากท่านจึงได้มอบบ้านหลังนี้ให้แก่หลวงปู่เพื่อใช้ในการฝึกสอนลูกหลาน...ดังนั้น
เรามาร่วมอนุโมทนาบุญให้กับผู้มีพระคุณต่อเราที่ได้จากโลกวุ่นวายนี้ไปอยู่ในแดนนิพพานแล้วพร้อมกัน
ค่ะ....."
" สาธุ..."
ผมนั่งเอาหลังพิงผนังห้องด้วยความรู้สึกง่วงเต็มทนในขณะที่คนอื่นๆตั้งใจฟังอาจารย์ผู้
ฝึกสอนกันตาแป๋ว
" ก่อนที่จะมรณะภาพ...หลวงปู่จันทร์ได้ถ่ายทอดวิชาที่มีคุณค่าเอาไว้ให้แก่ลูกหลานซึ่งนั่นก็คือวิชา
" แยกกายทิพย์" ที่เราจะทำการฝึกกันวันนี้นะคะ......วันนี้เราจะมาฝึกจิตเพื่อถอดกายทิพย์เดินทางไปท่อง
เที่ยวในแดนต่างๆค่ะ..."
ผมนั่งมองอาจารย์ผู้ฝึกสอนก่อนที่สมองชั้นเลวของผมจะคิดอกุศลไปต่างๆนานา...นี่มันเป็นเรื่องงม
งายชัดๆ
" ก่อนอื่นหลับตาและพักจิตให้สบายนะคะ...อย่าเครียดอย่าเคร่งและอย่าสงสัยใดๆทั้งสิ้น....วิชานี้ถูก
ถ่ายทอดมาจากหลวงปู่จันทร์ที่ต้องการให้มนุษย์โลกพ้นจากความทุกข์..."
" ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา....เราไม่ใช่เจ้าของร่างกาย...ร่างกายไม่มีในเรา....เราไม่มีในร่างกาย..."
เมื่อผมเริ่มหลับตาตามที่อาจารย์ผู้ฝึกสอนบอก...จิตของผมที่ควรจะสงบก็เริ่มเตลิดไปทั่ว...คำถามที่
ว่าผมกำลังมานั่งทำเบื้อกอะไรอยู่ที่นี่กำลังผุดขึ้นมาในมโนสำนึกพร้อมกับคำถามที่ว่าถ้าไอ้ร่างกายนี้มัน
ไม่ใช่ของผมแล้วแท้จริงมันเป็นของใคร....ร่างกายที่อยู่กับผมมานานถึงสิบเก้าปีเต็ม...แต่จู่ๆก็มีใครไม่รู้
มาบอกว่านี่มันไม่ใช่ร่างกายของผม...คิดแล้วก็หลอนชะมัด...นี่ผมต้องทนอยู่กับใครมาตลอดทั้งชีวิตครับ
เนี่ย
" ร่างกายเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์...ทุกวันนี้ถ้าเกิดเป็นมนุษย์แล้วมีความสุขจริงทำไมบางวันเราถึงต้อง
เจอกับปัญหา...ทำไมถึงไม่ได้มีความสุขทุกวัน...นักเรียนต้องแข่งขันกันเรียนดี...ผู้ใหญ่บางคนต้องชิงดี
ชิงเด่นกัน..เหนื่อยกันบ้างไหมคะกับชีวิตที่ผ่านมา...."
" ถ้าอย่างนั้นก็บอกได้เลยว่าการเกิดเป็นมนุษย์มีแต่ความทุกข์ไม่ได้ดีจริงอย่างที่ทุกคนเข้าใจ...คน
หล่อก็มีทุกข์...คนขี้เหร่ก็มีทุกข์...คนจนก็มีทุกข์...คนรวยก็เป็นทุกข์ได้เหมือนกัน..ถ้าอาจารย์บอกว่ามี
สถานที่อยู่แห่งหนึ่งที่ไม่ต้องมีความแก่..ความตาย..ความเจ็บไข้ได้ป่วย...อากาศไม่ร้อนไป..ไม่เย็น
ไป...ไม่มีคนจนกว่า..ไม่มีคนรวยกว่า...ดินแดนที่ไม่มีทุกขเวทนา...."
" ทำจิตให้ว่าง...ทำกายให้ว่าง...ใช้ใจสัมผัส...ให้ใจเห็นภาพไม่ใช้ลูกตาเนื้อเห็น..วันนี้อาจารย์จะพา
ไปเที่ยวในแดนนิพพาน..."
ผมสะดุดกับคำของอาจารย์ผู้ฝึกสอน...ว่าไงนะ...ท่องเที่ยวในแดนนิพพานอย่างนั้นหรือ...นี่อาจารย์
ไม่ได้กำลังล้อผมเล่นอยู่ใช่ไหมครับ
" ขอบารมีของพระพุทธเจ้า...ขอให้ท่านมาปรากฏเหนือกายของพวกเราทุกคน..."
" ผมเห็นท่านมาแล้วครับ.." เด็กชายวัยแปดขวบที่นั่งอยู่ข้างๆกันกับผมร้องออกมาแทบจะทันที
" รัศมีกายของท่านเป็นสีอะไรคะ.."
" สีเหลืองฮะ..."
ผมเผยอเปลือกตาขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองว่ารอบๆห้องกระจกแคบๆนี้ติดโปสเตอร์รูปภาพพระพุทธเจ้า
เอาไว้หรือเปล่า...แต่ในห้องนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากผนังห้องสีขาวกับผ้าม่านสีครีมที่ใช้บังแดดจาก
ภายนอกหน้าต่างเท่านั้น
" เห็นรูปโฉมของพระองค์เป็นอย่างไรบ้างคะ..."
" ท่านมีเนื้อใสเป็นแก้วฮะ..."
คราวนี้ผมยื่นหน้าเข้าไปจ้องเด็กคนนั้นอย่างสงสัย..อะไรกันเจ้าเด็กนี่...ทั้งๆที่ไม่ได้ลืมตาแท้ๆแต่
กลับเห็นภาพเป็นตุเป็นตะได้..นี่แสดงว่าถ้าไม่เป็นบ้าจินตนาการของเจ้าเด็กคนนี้ต้องสูงมากแน่ๆ..
" พระองค์มีสีหน้าเป็นอย่างไรบ้างคะ..."
" ยิ้มแป้นเลยค่ะ.." คราวนี้คุณนายน้ำทิพย์ของผมเป็นคนตอบ...อะไรกัน...แม้แต่คุณแม่ก็ยังเป็นไป
กับเขาด้วยเหรอเนี่ย...
" ค่ะ..ดิชั้นก็เห็น.."
" ดิชั้นเห็นพระอานนท์สาวกของพระพุทธเจ้าด้วยนะคะ.."
" ใช่ครับ...ผมก็เห็น.."
ผมมองหน้าทุกคนที่กำลังหลับตาด้วยความตะลึง...นี่มันอะไรกัน...ทำไมทุกคนถึงเห็นภาพที่เป็น
ไปในทางเดียวกันได้ขนาดนี้...ทั้งๆที่ผมพยายามเค้นภาพจนนัยย์ตาแทบจะทะลุออกมานอกเบ้าแท้ๆแต่
กลับไม่พบอะไรเลยสักอย่างนอกจากความมืดและอาการปวดหัวตึ้บๆ
" อย่าใช้ตาเนื้อในการมอง...ให้ใช้ใจมองนะคะจึงจะสำเร็จ...เอาล่ะค่ะทีนี้เรามาดูกายทิพย์หรือที่
เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอทิสมานกาย....เป็นอย่างไรบ้างคะ...กายทิพย์ของเราตอนนี้..."
" ใสแจ๋วเลยครับ..." เด็กชายวัยแปดขวบตอบ
เอาอีกแล้วครับ...มันยังไงกันนะในขณะที่ทุกคนตอบกันปาวๆแต่ผมกลับนั่งอ้าปากหวอไม่รู้เรื่อง
อะไรกับเขาเอาเสียเลย
" คราวนี้น้อมจิตขอองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าให้ช่วยนำเราขึ้นไปยังแดนนิพพาน...เห็นวิมานของ
พระพุทธองค์ไหมคะ..."
" เห็นครับ..."
" ทำจากแก้วใสทั้งหลังเลยค่ะ..."
" คราวนี้ลองดูซิคะว่าเรามีวิมานบนนิพพานกันบ้างหรือเปล่า..."
คราวนี้เป็นครั้งแรกที่ผมสังเกตุเห็นว่าไม่มีใครส่งเสียงตอบ..
" ใช้ความรู้สึกแรกตอบเลยค่ะ...อย่าสงสัยในอารมณ์แรกของจิต...มีหรือไม่มีก็ตอบมาตามความ
จริง..."
" มีฮะ.."
" มีค่ะ.."
" ไม่มีครับ..." ผมตอบเป็นคนสุดท้ายในขณะที่ทุกคนในห้องพากันเงียบกริบ
" ถ้าไม่มีก็สร้างเลยค่ะ.."
" หา..."
" ระลึกถึงบุญบารมีที่คุณเคยทำไม่ว่าจะเป็นการทำบุญตักบาตร...หยอดเงินช่วยเหลือสัตว์พิการหรือ
อะไรก็ได้ค่ะ...แม้จะทำด้วยเงินเพียงเล็กน้อยก็สามารถนำกุศลเหล่านั้นมาสร้างเป็นวิมานได้ค่ะ..."
จะว่าไปแล้วผมก็ห่างหายจากการทำบุญไปนานหลายปีโข...จนจำแทบไม่ได้แล้วว่าทำบุญครั้ง
สุดท้ายเมื่อไหร่...ขณะที่กำลังนึกถึงบุญบารมีที่เคยทำอยู่นั้นจู่ๆภาพที่ผมเคยบวชเป็นสามเณรฤดูร้อน
สมัยยังเด็กที่คุณนายน้ำทิพย์เอารถบังคับวิทยุมาหลอกล่อกว่าที่ผมจะยอมก็ผุดขึ้นมาภายในใจอย่าง
ไม่ทันตั้งตัว
แต่จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลยนอกจากความมืดที่ปรากฏอยู่ภายในใจ
" ทีนี้ทุกคนก็มีวิมานเป็นของตัวเองแล้วนะคะ...ไหนลองเข้าไปสำรวจดูด้านในสิคะ..."
หลังจากที่อาจารย์ผู้ฝึกสอนร้องบอกให้ทุกคนในห้องเข้าไปดูวิมานกันพอหอมปากหอมคอ
แล้ว...คราวนี้เธอก็นำพาพวกเราเข้าไปยังสวรรค์ที่ผมก็ยังไม่เห็นอะไรอยู่ดีนั่นแหล่ะ..
" เห็นพระอินทร์ไหมคะ..."
" เห็นครับ..."
" กายของท่านเป็นสีอะไร.."
" ก็ต้องสีเขียวสิครับ..."
" แต่ดิฉันเห็นเป็นสีขาวนะคะ..." คุณนายน้ำทิพย์ของผมแย้งขึ้นมาทันที
" เอาล่ะค่ะ...ไม่ว่าจะเห็นเป็นอย่างไรก็ถูกต้องเหมือนกันหมด...จริงๆแล้วกายของพระอินทร์เป็นสี
ขาวแต่เพราะ.."
" เพราะไอ้ลูกกลมๆที่อยู่บนชฎาส่องแสงลงมาโดนร่างของท่านเลยทำให้กายของท่านเป็นสีเขียว
ใช่ไหมฮะ..." เจ้าเด็กแปดขวบที่นั่งข้างผมส่งเสียงเจื้อยแจ้วขึ้นมาอีก
" ถูกต้องแล้ว...นั่นน่ะ..เรียกว่ามรกต..."
หลังจากเวลาล่วงเลยมาจนถึงหนึ่งชั่วโมงเต็ม...ช่วงสุดท้ายของการฝึกวิชา "แยกกายทิพย์" ก็มา
ถึง...ทุกคนลืมตามานั่งล้อมวงอาจารย์ผู้ฝึกสอนก่อนที่หญิงสาวคนหนึ่งจะยกมือขึ้นถามทันทีที่อาจารย์
ปราณีเปิดโอกาส
" อาจารย์คะ...ทำไมดิฉันถึงเห็นบ้างไม่เห็นบ้างล่ะคะ..บางภาพก็ชัดบางภาพก็ไม่ชัด..บางทีก็ไม่เห็น
อะไรไปเลยก็มีค่ะ..."
" ไม่เป็นไรนะคะ..นั่นแสดงว่าคุณต้องฝึกฝนอีกสักนิด...อย่าลืมนะคะเรามีนัดกันวันพรุ่งนี้อีกครั้ง...ทุก
คนในห้องนี้จะต้องลงไปฝึกที่ห้อง "ญาณแปด" ที่ชั้นสองค่ะ...รับรองว่าถ้ามาฝึกที่ห้องนี้ทุกคนจะเห็นภาพ
ได้ชัดขึ้น..แต่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลด้วยนะคะ...ยังไงอย่าลืมขึ้นมารายงานอาจารย์ด้วยก็แล้วกันว่าเห็น
อะไรกันบ้าง...สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกันนะคะ..นี่ก็เลยเวลามามากแล้ว...ธรรมะสวัสดีค่ะ..."
หลังจากที่ลูกศิษย์ทางธรรมร่ำลาอาจารย์ผู้ฝึกสอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...ผมจึงขับรถไปส่งคุณนาย
น้ำทิพย์ก่อนจะกลับมายังหอพักของตนเองที่มหาวิทยาลัย...
เสียงของคุณนายน้ำทิพย์ก่อนลงจากรถยังคงดังกึกก้องไปทั่ว
" พรุ่งนี้อย่าลืมมารับแม่ไปบ้านหลวงปู่อีกนะลูก..."
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น