วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

พบพระนิพพานที่บ้านหลวงปู่(ตอนที่สอง)






                                                     ตอนที่สอง




" ภัทร...แม่มีอะไรจะบอก..." คุณนายน้ำทิพย์โทรศัพท์หาผมในเช้าวันรุ่งขึ้น



" อะไรม๊า..."



" พอดีวันนี้แม่ลืมไปว่ามีนัดไปทอดกฐินที่เพชรบุรีกับป้าเขียวหวานน่ะลูก..."



" แล้ว.."



" แม่ก็ไปบ้านหลวงปู่ไม่ได้น่ะสิ...งั้นเอางี้ละกัน...ภัทรไปแทนแม่นะ...."





คุณนายน้ำทิพย์ทันทีที่ได้ยินเสียงอิดออดของผมที่ไม่อยากทำตามคำขอร้องของเธอเท่าไหร่...

เธอจึงงัดไม้ตายสุดท้ายออกมา



" เดี๋ยวแม่ให้ตังค์สองพัน "



" ไปฮะ..." ผมรีบตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด...



เงินตั้งสองพันแลกกับการไปนั่งหลับในห้องฝึกแอร์เย็นๆเพียงไม่กี่ชั่วโมง



เป็นใครก็ไปทั้งนั้นแหล่ะครับ....เชื่อผมเถอะ





ผมขับรถออกมาจากหอพักของมหาวิทยาลัยก่อนจะมุ่งหน้าไปยังบ้านหลวงปู่ที่ตั้งอยู่

ในซอยสายชลย่านถนนพหลโยธินเช่นเคย.....วันนี้ผู้คนก็ยังคงคึกคักเหมือนเมื่อวาน....

เสียงจ่อกแจ่กจอแจดังไปทั่วบริเวณบ้านสามชั้นหลังนั้น





วันนี้ผมถูกจัดให้เข้าฝึกที่ชั้นสองรวมกับผู้ฝึกเก่าท่านอื่นๆ...ภายในห้อง"ญาณแปด"นี้

เป็นห้องโล่งกว้างที่ไม่ได้มีการแบ่งสัดส่วนเหมือนกับห้องฝึกชั้นสาม...





ผมมองไปรอบๆห้องและสายตาของผมก็ไปสะดุดกับเด็กชายวัยแปดขวบ

ที่สามารถตอบได้เกือบจะทุกคำถามเมื่อวานนี้....


นี่ผมต้องเจอเจ้าเด็กนี่อีกแล้วเหรอครับ..





คนเกือบหนึ่งร้อยคนนั่งเงียบกริบทันทีที่อาจารย์ผู้ฝึกสอนคนหนึ่งสั่งให้พวกเราทุกคนสงบเสียง

และปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด...ทันใดนั้นเองโทรทัศน์สีสองเครื่องก็ถูกเปิดขึ้นแทบจะทันที




ภาพของหลวงปู่จันทร์ขึ้นบนนั้นเหมือนเคย...เทปบันทึกภาพของหลวงปู่นำสวดไหว้ครู

และอาราธนาศีลห้าเว้นก็แต่พานดอกไม้ธูปเทียนที่คราวนี้ไม่ต้องใช้เนื่องจากผู้ฝึกทุกคนในห้องนี้ถือเป็นผู้ฝึกรายเก่า





ครั้งนี้ก็เหมือนกับครั้งก่อน....ที่แม้ว่าครูฝึกจะพยายามถามหรือผู้ฝึกคนอื่นๆจะพยายามตอบมากเท่าไหร่ผมก็ยัง

ไม่เห็นภาพตามนั้นเลยสักนิด....ผมนั่งหลับตาฟังเสียงของอาจารย์ผู้ฝึกสอนเคล้าเสียงแอร์ที่ดังหึ่งๆอยู่บนหัว


ก่อนจะเริ่มเคลิ้มหลับไป....




และแล้วผมก็เริ่มฝัน.....





ผมจำได้ว่าในฝันของผมนั้นมีแต่ความมืดมิด....




ผมพยายามเพ่งมองไปข้างหน้าแต่ผมก็ไม่สามารถเห็นอะไรเลยนอกจากหมอกที่บดบังเส้นทาง...เอ้ะไม่สิ...นี่ไม่

ใช่หมอกเสียหน่อย...แต่มันคือควันไฟต่างหากเพราะความรู้สึกร้อนระอุที่ผมกำลังสัมผัสได้....




" สวัสดี..." เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังของผม.....ชายสวมชุดขาวเนื้อตัวโปร่งใสราวกับผลึกแก้วส่งยิ้มมา

ให้ทันทีที่ผมหันไปมอง...



' ผีแน่ๆ...' ผมคิด



" ไม่ใช่ๆ..." ชายหนุ่มชุดขาวโบกมือไหวๆ " พญามัจจุราชต่างหาก.."





ผมมองชายที่อ้างตัวว่าเป็นพญายมราชตั้งแต่หัวจรดเท้า...สาบานได้เลยครับว่าเขาไม่มี

ความน่ากลัวเหมือนพญามัจจุราชที่ผมเคยเห็นในภาพยนตร์เลยสักนิด



" ไปเถอะได้เวลาแล้ว..."





ว่าไงนะครับ....ได้เวลาแล้ว...เวลาอะไรครับ....เวลาที่ผมจะต้องลงนรกอย่างนั้นหรือ...โอ้วม่ายยยย






ทันทีที่ความคิดของผมสิ้นสุดลง...จู่ๆร่างของผมก็มายืนอยู่หน้าภูเขาไฟสีดำทะมึนลูกหนึ่งที่ด้าน

ในมีลาวากำลังเดือดปุดๆไหลออกมาเป็นสาย....





เสียงร้องโหยหวนของอะไรบางอย่างดังออกมาจากใต้ลาวาเหล่านั้น...ทันทีที่ผมเพ่งมองเข้าไปผมก็ต้องตะลึงงัน...

สิ่งมีชีวิตที่ถูกลาวารดราดจนดำเกรียมนั้นคือมนุษย์ครับ...มนุษย์จริงๆไม่ใช่แสตนอิน..ผิวหนังของพวก

เขาปริแตกออกเหมือนกับปลาหมึกย่างที่คุณแม่ชอบซื้อในตลาดให้ผมทานบ่อยๆ...





" นี่ล่ะพวกที่ชอบฆ่าสัตว..ไม่เหมือนกับกระทะทองแดงที่เคยเห็นในทีวีใช่ไหม....."




ผมไม่ตอบอะไรเพราะมัวแต่กำลังอึ้ง




" เอาล่ะทีนี้ไปดูคนทำผิดศีลข้อลักทรัพย์กันบ้าง..."




ทันทีที่สิ้นเสียงของพญายมราช...ภาพที่มาปรากฏตรงหน้าของผมก็เปลี่ยนไป..




" ฉึก..ฉึก.."



เสียงที่ผมได้ยินไม่ใช่เสียงของรถไฟที่ดังฉึกๆ.....

หากแต่เป็นเสียงของอีกาทั้งเล็กและใหญ่ที่กำลังใช้ปากแหลมคมทั้งจิกและเจาะมนุษย์ทั้งหญิง

และชายร่างเปลือยเปล่าที่พยายามเอามือปัดสัตว์นรกพวกนั้นออกไปแต่ก็ไร้ผล...




" มนุษย์ที่ชอบขโมยทรัพย์สินของผู้อื่น..หรือฉ้อโกง..โกงกินบ้านโกงกินเมือง...

ก็ต้องถูกอีแร้งพวกนี้จิกกินแบบนี้แหล่ะ..."





หลังจากนั้นท่านพญายมราชที่ดูไม่เหมือนกับพญายมราชที่ผมเคยจิตนาการไว้เท่าไหร่นักก็พาผมท่องเมืองนรกต่อ...




ผมได้เห็นผู้คนมากมายที่ทำผิดศีลข้อกาเมกำลังปีนขึ้นไปบนท่อนเหล็กสูงเสียดฟ้าดำทมึน...


หนามแหลมที่ยื่นออกมาจากท่อนเหล็กเหล่านั้นครูดจนร่างกายของพวกเขาเหล่านั้นเป็นแผลเหวอะหวะ





ทันทีที่ผมได้พบกับการทรมานสำหรับผู้ทำผิดศีลข้อที่สาม....ภาพการทรมานสำหรับผู้ที่พูดปดก็บังเกิดขึ้น



" จ้อก.." เสียงน้ำจากกระบวยของนายนริยบาลเจ้าของร่างกายกำยำสีดำเข้มสวมโจงกระเบนสีเดียวกัน

กำลังไหลรินเข้าสู่ปากของหญิงชายหลายคนทีนั่งรายล้อมรอบบ่อน้ำบ่อหนึ่งอยู่

คล้ายกับสัตว์เลี้ยงนั่งรอคอยอาหารจากเจ้าของ





ทันทีที่น้ำจากกระบวยไหลรินเข้าปาก...เสียงดัง " ฉ่า.." ของน้ำกรดที่พร้อมจะกัดกร่อนริมฝีปาก

...ลิ้น...คออ่อนและกระเพาะอาหารก็ดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงร้องโหยหวน

ซึ่งเป็นที่น่าเวทนาต่อผู้พบเห็นยิ่งนัก



เมื่อมาถึงแดนที่ใช้ลงโทษผู้ทำผิดศีลข้อสุราเมรยะ....ผมก็กลับมายังภูเขาลูกเดิมที่เคยเห็นก่อนหน้านี้....

หากแต่มีคนจำนวนหนึ่งกำลังแย่งกันตักกินลาวาที่เดือดปุดๆนั้นด้วยความกระหาย.....พวกเขาร้องลั่นด้วย

ความแสบร้อนแต่ก็ไม่สามารถหยุดพฤติกรรมเหล่านั้นได้ราวกับต้องมนตร์สะกด

ให้กระทำการนั้นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น